“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” เป็นประโยคที่คุ้นหูมาแต่ไหนแต่ไร ก็เพราะว่าการลุงทุนนี้ล่ะที่ทำให้หลายรายเจ๋งกันไม่เป็นท่า บางรายถึงกับหมดเนื้อหมดตัวกันเลยทีเดียว ทว่าทางกลับกันหากเราศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ดี ก็สามารถลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน ทำให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมา เสมือนเงินที่งอกเงยคืนนั่นเองค่ะ คราวนี้ก็เป็นหน้าที่นักลงทุนทุกท่านที่จะต้องทำการบ้านก่อนการลงทุนเพื่อผลกำไรที่งอกเงยกันแล้วล่ะค่ะ ซึ่งคุณเคยคิดไหมว่าเราควรลงทุนกันแบบไหนเพื่อสร้างเงินให้งอกเงยและเห็นผลกำไรที่งอกงาม ตอบโจทย์ความเสี่ยงกับการลงทุนน้อยที่สุด โดยวันนี้ yimsu.com จึงขอนำทุกท่านมารู้จักกับกองทุนดีๆ ที่ช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหล ได้กำไรแบบฟินๆ เพื่อใช้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมลงทุนกับกองทุนไหนดี มาฝากกันค่ะ
1. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
มีชื่อย่อมาจาก Retirement Mutual Fund นับเป็นประเภทของการลงทุนที่น่าสนใจตัวหนึ่งที่สามารถนำมาลดหย่อยภาษีได้ เป็นการลงทุนที่สามารถนำส่วนต่างของราคา (กำไร) เอาไว้ใช้หลังจากเกษียณเพื่อการเลี้ยงชีพยามชรา นับเป็นกองทุนรวมที่สร้างขึ้นมาเพื่อวินัยการออมเงินที่แท้จริง ซึ่งกองทุนนี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการมีเงินเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ
เงื่อนไขการลงทุน ลงทุนขั้นต่ำอย่างน้อย 3% ของรายได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท สามารถซื้อหน่วยลงทุนเป็นปี และต้องถือหน่วยลงทุนจนอายุครบ 55 ปี ซึ่งต้องลงทุนมาแล้วอย่างน้อย 5 ปี ถึงแม้ว่าอายุจะเกิน 55 ปีก็ตาม และสามารถซื้อหน่วยลงทุนสูงสุด 15% ของเงินที่ได้ในแต่ละปี หรือไม่เกิน 500,000 บาท ของเงินสะสมเข้ากองทุนเลี้ยงชีพค่ะ ทีสำคัญกองทุนนี้สามารถนำมาลดหย่อยภาษีได้อีกด้วยนะคะ
2. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)
มีชื่อย่อมาจาก Long-Term Equity Fund เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนในหุ้น เนื่องจากกองทุนได้คัดเลือกหุ้นดีจากผลประกอบการมาไว้ให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน ซึ่งจุดประสงค์หลักของกองทุนนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบันที่จะลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญสามารถนำมาลดหย่อยภาษีได้อีกด้วยค่ะ
เงื่อนไขการลงทุน เป็นหุ้นที่ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปีแต่ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 7 ปี และไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากส่วนต่างของราคา (กำไร) จากการขายหน่วยลงทุน โดยยอดซื้อ LTF ที่ซื้อในปีนั้นๆ สามารถนํามาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในปีภาษีนั้นๆ แต่ต้องไม่ เกิน 500,000 บาทต่อปี
3. กองทุนหุ้นปันผล
เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีผลตอบแทน (กำไร) กลับมาในระหว่างการลงทุน ส่วนวิธีการซื้อหน่วยลงทุน เช่น สมมติว่าเรามีเงินลงทุน 100 บาท ราคาของกองทุน หน่วยละ 10 บาท ถ้าเราซื้อกองทุนเราจะได้หน่วยลงทุนทั้งหมด 10 หน่วย และถ้ากองทุนปันผลหน่วยละ 1 บาท เราก็จะได้เงินปันผลหรือผลตอบแทน (กำไร) = 10 บาท นั้นเองค่ะ
4. กองทุนแบบ Passive Fund
เป็นกองทุนที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากเน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ แต่การลงทุนแบบนี้จะไม่สามารถทำกำไรได้มากกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ สำหรับข้อดีของการลงทุนของกองทุนแบบ Passive Fund คือ ค่าธรรมเนียมในการซื้อ-ขาย ถูกมาก เพราะผู้จัดการกองทุนไม่ต้องมาเสียเวลาในการดูแลกองทุน เพียงแค่ผู้จัดการกองทุนลงทุนด้วยสัดส่วนแบบเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์นั้นเอง เช่น
4.1 กองทุนเปิด K-SET50
เป็นกองทุนที่น่าสนใจอีกกองทุนหนึ่งเนื่องจากเป็นกองทุนที่ลงทุนโดยใช้กลยุทธ์บริหารเชิงรับ โดยส่วนใหญ่จะลงทุนในหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี SET50 เป็นจำนวนเฉลี่ยในรอบระยะเวลาบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน อีกทั้งเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีรวมอีกด้วยค่ะ
4.2 กองทุน SCBSET50
นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจอีกหนึ่งตัว ซึ่งเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเป็นกองทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของดัชนี SET50 มากที่สุด
5. กองทุน MMF
มีชื่อย่อมาจาก Money Market Fund เป็นกองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้, พันธบัตรต่างๆ, ตั๋วเงินในคลัง, พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี, บัตรเงินฝากธนาคาร หรือบัตรเงินฝากตามสถาบันต่างๆ รวมทั้งตั๋วสัญญาที่ครบการชำระเงินไม่เกิน 1 ปี หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ดั้งนั้น กองทุนนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักเงินชั่วคราว รอเงินไปลงทุนเพื่อทำธุรกิจอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งกองทุนนี้เป็นกองทุนเปิด ผู้ที่ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลุงทุนได้ทุกวันในเวลาราชการ นับเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารค่ะ
6. กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น
มีชื่อภาษาอังกฤษ คือ Short-Term Fixed-Income Fund เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งจะเป็นการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะสั้น และต้องมีอายุเฉลี่ยในการถือครอง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งไม่เกิน 1 ปี
7. กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว
มีชื่อภาษาอังกฤษ คือ Long-Term Fixed-Income Fund เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งจะเป็นการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ สามารถลงทุนในระยะยาวได้ และต้องมีอายุเฉลี่ยในการถือครอง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเกิน 1 ปี (ส่วนนี้อย่าสับสนนะคะ!! เพราะระยะเวลาการถือครองจะตรงกันข้ามกับข้อที่ 6 ค่ะ)
8. กองทุนรวมผสม
มีชื่อภาษาอังกฤษ คือ Balanced Fund เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินได้ทุกประเภท อาทิ ตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือตราสารอื่นๆ โดยสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและนโยบายการลงทุนในตราสารแต่ละประเภท
9. กองทุนคุ้มครองเงินต้น
มีชื่อภาษาอังกฤษ คือ Principle or Capital Protection Fund เป็นการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อคุ้มครองเงินต้นของผู้ถือหน่วยลงทุน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนไม่ต่ำกว่าเงินลงทุนที่ซื้อไป ซึ่งส่วนนี้เท่ากับว่าคุณได้รับส่วนต่างของราคา (กำไร) นั่นเองค่ะ ซึ่งกองทุนคุ้มครองเงินต้นจะมีนโยบายการบริหารการลงทุน 2 แบบ คือ
- แบบ Passive
เป็นการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่มีความเสียงต่ำ โดยถือครองได้สูงถึง 90% สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในตราสารทุนที่มีความเสี่ยงมากกว่า หากการลงทุนในตราสารทุนเกิดกรณีขาดทุน กองทุนก็ยังคุ้มครองเงินต้นให้ได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยเพื่อนำมาชดเชยในส่วนของเงินต้นที่ขาดทุนไปนั่นเองค่ะ
- *แบบ Active
จะมุ่งลงทุนในตราสารทุนเพิ่มขึ้น และลดการถือครองพันธบัตรหรือตราสารหนี้ลง หรืออาจไม่ถือครองเลยก็ได้เมื่อดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้น โดยต้องไม่ให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่ำกว่ามูลค่า ณ เริ่มต้น และในทางกลับกันจะมุ่งลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้เพิ่มขึ้นและลดการถือครองตราสารทุนลงหรืออาจไม่ถือครองเลยก็ได้เมื่อดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ลดลง โดยไม่ให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่ำกว่ามูลค่า ณ เริ่มต้นเช่นกัน (*แบบ Active : อ้างอิงข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558)
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 9 กองทุนทั้งหมดที่เราได้กล่าวมา หวังว่าคงเป็นประโยชน์ให้กับทุกท่านได้ไม่น้อยทีเดียวนะคะ แต่ก่อนการตัดสินใจลงทุนก็อย่าลืมวิเคราะห์ความพร้อมด้านการเงิน รายละเอียดกองทุน และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากกองทุนแต่ละประเภทกันนะคะ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงหลังจากการลงทุนนั้นเองค่ะ